ขอบคุณรูปภาพจาก WorldWide
อย่างที่หลายๆ คนรู้ น้ำมันดิบเป็นสิ่งที่มีค่ามาก นอกจากใช้เป็นพลังงานให้เครื่องยนตร์เครื่องจักรต่างๆ ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นปิโตรเคมีอีกหลายชนิด ทั้งพลาสติก, เส้นใยสังเคราะห์, ยารักษาโรค เรียกว่าทำรายได้มหาศาล ทำให้ทั่วโลกแย่งกันเป็นเจ้าของบ่อน้ำมันดิบ ประเทศที่มีน้ำมันก็ใช้มันเป็นเครื่องมือต่อรอง ประเทศที่ไม่มีก็ก่อสงครามเพื่อช่วงชิงมันมาให้ได้
ทราบกันไหมว่ามีสงครามใดเกิดขึ้นเพราะน้ำมันบ้าง? จะยกตัวอย่างเรื่องราวบางส่วนจากแถบตะวันออกกลางขึ้นมาเล่า เข้ามาอ่านเรื่องราวนี้ไปด้วยกัน
เรื่องราวจากแถบตะวันออกกลาง
ตะวันออกกลางเป็นพื้นที่อันอุดมไปด้วยแหล่งปิโตรเลียมน้ำมันดิบมาตั้งแต่ยุคโบราณ หอคอยและกำแพงเมืองบาบิโลนในอารยธรรมเมโสโปเตเมียก็มีการนำยางมะตอยมาใช้ประกอบ
การกลั่นน้ำมันเองก็เริ่มต้นขึ้นในภูมิภาคนี้โดยนักเคมีชาวเปอร์เซียและอาหรับ ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่มีประวัติการแย่งชิงน้ำมันในตะวันออกกลางอยู่เรื่อยมา
เราอาจจะเคยชินที่ชาติตะวันตกบุกรุกเข้าสู่ตะวันออกกลางเพื่อเป็นเจ้าของน้ำมัน เช่นอังกฤษยึดอิรักเป็นเมืองในปกครอง
แต่ความจริงแล้ว ในภูมิภาคนี้ด้วยกันเองมีการแย่งชิงทรัพยากรใต้ดินด้วยกำลังระหว่างกันมาบ่อยครั้ง
ในปี 1970 เป็นช่วงเวลาสันติของอิรัก ซัดดัม ฮุสเซน ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ได้พัฒนาเศรษฐกิจโดยยึดแหล่งน้ำมันคืนจากสัมปทานตะวันตก อิรักจึงมั่งคั่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ซัดดัมไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น เขายังแสวงหาแหล่งน้ำมันอื่นๆ มาเสริมเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น เขาส่งคนอาหรับให้เข้าไปอาศัยในพื้นที่เมืองเคอร์คุกของชาวเคิร์ดซึ่งมีน้ำมันอยู่อย่างมหาศาล แล้วออกกฎห้ามมิให้ให้ชาวเคิร์ดซื้อที่ดินในเคอร์คุก ให้ขายได้อย่างเดียวเท่านั้น ชาวเคิร์ดเป็นเพียงชนกลุ่มน้อย ไม่มีประเทศของตนเอง จึงทำอะไรไม่ได้มากนัก
ต่อมาอิรักขัดแย้งกับอิหร่าน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ประหัตประหารกันจนปี 1979
ปีนั้นซัดดัมได้เป็นประธานาธิบดี ส่วนทางอิหร่านก็เกิดการปฏิวัติล้มล้างพระเจ้าชาห์ กลุ่มเคร่งศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ ซึ่งเป็นนิกายที่ชาวอิหร่านส่วนใหญ่นับถือ นำโดย อยาตอลเลาะห์ โคไมนี ขึ้นเป็นใหญ่
โคไมนีเป็นพวกอนุรักษ์นิยม จึงหยุดความสัมพันธ์ที่เคยมีกับอเมริกา เพราะมองว่าพวกตะวันตกนั้นชั่วร้าย ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองของอิหร่าน ณ ขณะนั้นเกิดความผันผวน
ขอบคุณรูปภาพจาก เดลินิว
ด้านซัดดัมต้องการแหล่งน้ำมันในอิหร่าน เห็นเป็นโอกาสดี จึงประกาศสงครามในเดือนกันยายน 1980 ทั้งสองฝ่ายรบพุ่งกันรุนแรง เสียชีวิตไปฝ่ายละหลายพัน และช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 1980 อิหร่านก็ส่งทัพเรือทัพอากาศบุกโจมตีบ่อน้ำมันและท่าเรือของอิรักในจังหวัดบาสรา ทำลายบ่อน้ำมันไปมากมาย ทั้งยังทำลายแสนยานุภาพทางเรือของอิรักไปกว่า 80% แสดงให้เห็นว่าน้ำมันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรีบโจมตีให้เสียหาย
ซัดดัมต้องถอยทัพกลับอิรักในปี 1982 แต่เนื่องจากอิหร่านสร้างศัตรูกับชาติอื่นไปทั่วเพราะเป็นรัฐศาสนาสุดโต่ง ทำให้ซัดดัมได้รับการสนับสนุนทางอาวุธจากสหรัฐฯ และโซเวียต จนมีกำลังฟื้นขึ้นมาใหม่ ประกอบกับการใช้อาวุธเคมีโดยไม่สนมนุษยธรรม สร้างจึงเกิดความสูญเสียต่ออิหร่านและชาติพันธมิตรเช่นชาวเคิร์ดอย่างใหญ่หลวง
สุดท้ายโคไมนีเลยต้องยอมเจรจากับซัดดัม แม้ผลจะจบลงโดยไม่มีฝ่ายไหนแพ้ชนะ แต่การศึกครั้งนี้ทำให้กองทัพอิรักเกรียงไกรขึ้นเป็นอันมาก
ขณะเดียวกันอิรักกลับติดหนี้หลายประเทศเพราะสงคราม หนึ่งในเจ้าหนี้รายใหญ่ได้แก่คูเวต ซึ่งเป็นประเทศข้างเคียง
อิรักพยายามเจรจาล้างหนี้แต่ไม่สำเร็จ ซัดดัมเลยสั่งบุกคูเวตเพื่อยึดบ่อน้ำมันและล้างหนี้ในคราวเดียว แต่นานาชาติไม่ยอมรับการกระทำนี้ และเกรงว่าซัดดัมจะไปบุกซาอุดิอาระเบียที่เป็นเจ้าหนี้ใหญ่ข้างเคียงอีกรายต่อ
อเมริกาที่เป็นมหามิตรของซาอุฯ ในเวลานั้น จึงร่วมมือกับชาติพันธมิตรมาบุกอิรัก เกิดเป็น “สงครามอ่าว” ขึ้นในวันที่ 17 มกราคม 1991
แม้ทัพอิรักจะดูยิ่งใหญ่ในภูมิภาค แต่เจอยอดกองทัพระดับโลกแล้วกลับพ่ายแพ้ไปในระยะเวลาเพียงเดือนเศษ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนั้น ซัดดัมได้ใช้เล่ห์กลเพื่อต่อสู้หลายประการ หนึ่งในกลวิธีของเขาก็คือ การปล่อยน้ำมันดิบลงทะเล หลังถูกบุกโจมตีไปได้ราวหนึ่งสัปดาห์ กองทัพอิรักทิ้งน้ำมันลงอ่าวเปอร์เซียเพื่อหวังให้ชาติพันธมิตรยกพลขึ้นบกไม่ได้ หรืออย่างน้อยก็ชะลอให้ฝ่ายตรงข้ามเสียทรัพยากร
นักวิชาการยังยังวิเคราะห์อีกด้วยว่า ซัดดัมต้องการทำลายแหล่งน้ำจืดในประเทศใกล้เคียงอย่างซาอุดิอาระเบีย
เมื่อสหประชาชาติออกมาประณามการกระทำครั้งนี้ อิรักได้ปฏิเสธความรับผิดชอบ บอกว่าที่น้ำมันรั่วเพราะถูกพวกอเมริกาโจมตีทางอากาศไปโดนเรือบรรทุกน้ำมันต่างหาก
สงครามอ่าวจบลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ แต่ความเสียหายจากการปล่อยน้ำมันกว่า 4,000,000 - 11,000,000 ยูเอสบาร์เรลยังคงอยู่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ก่อนซัดดัมจะถอยทัพกลับอิรัก เขาตัดสินใจสั่งเผาบ่อน้ำมันคูเวตราว 700 บ่อ หมายให้คูเวตย่อยยับ เหมือนถ้าตนไม่ได้ก็ต้องไม่มีใครได้ เกิดเป็นวิกฤตทางสิ่งแวดล้อมทั้งทางบก ทางน้ำ รวมถึงทางอากาศ ...เหตุครั้งนี้ถือเป็นวิกฤตน้ำมันครั้งเลวร้ายที่สุดในโลก
จากการศึกษาในปี 2018 พบว่า แม้น้ำมันจะสิ้นสารพิษไปแล้ว แต่มันยังทำให้พืชน้ำไม่ได้รับแสงและอากาศเพียงพอ ทั้งยังทำให้นกหลายสายพันธุ์ต้องตายเนื่องจากน้ำมันติดขน
ส่วนบ่อน้ำมันคูเวตที่ลุกไหม้ต่อเนื่องไปเกือบปี ก็สร้างมลภาวะทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างใหญ่หลวง และยังทำให้น้ำมันรั่วไหลลงน้ำเพิ่มอีกด้วยเรียกว่าเป็นการใช้น้ำมันเป็นอาวุธอย่างแท้จริง
จากทั้งหมด เราอาจเห็นได้ว่าน้ำมันเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดได้ทั้งความเจริญและความวายวอด
อิรักที่เจริญขึ้นมาได้ก็เพราะดึงสัมปทานน้ำมันมาบริหารเอง แต่อนิจจาว่าด้วยความโลภของซัดดัม ที่ต้องการบ่อน้ำมันของผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง ทำเขาให้ตัดสินใจรุกรานผู้อื่นไปทั่ว
ในที่สุดมันก็นำพาให้ทั้งตัวเขาและประเทศต้องพบความพินาศ ถูกอเมริกายกมาปราบในสงครามอิรัก
เรื่องราวที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการรบเพทชื่อแย่งชิงน้ำมันในอิรักที่มีบทสรุปที่ไม่ดีนัก และเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสงครามน้ำมันที่เกิดขึ้นทั่วภูมิภาคดังกล่าว
ปัจจุบันแม้ซัดดัมจะตายไปนับสิบปี แต่ความต้องการครอบครองน้ำมันในตะวันออกกลางยังมีต่อไป อาจผ่านสงครามการทูตบ้าง การค้าบ้าง หรือใช้กำลังบ้าง ประเด็นนี้คงไม่อาจจบลงง่ายๆ ตราบใดที่มนุษย์ยังต้องการน้ำมันอยู่นั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก : The Wild Chronicles , How the Iran-Iraq war will shape the region for decades to come brookings