ตอนเด็ก ๆ เราอาจจะเคยมองพระจันทร์แล้วคิดว่ามีอะไรอยู่บนนั้นหรือป่าวนะ คนสมัยก่อนเองในแทบทุกวัฒนธรรมก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วจินตนาการสิ่งต่าง ๆ จากสิ่งที่เรามองเห็นไปมากมายไม่ต่างกัน จนเกิดเป็นเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากวันไหว้พระจันทร์เพิ่งผ่านพ้นไป ในบทความนี้เราจะขอเล่าตำนานดวงจันทร์ของเอเชีย เน้นที่จีนและแทรกญี่ปุ่นกับอินเดียมาเล็กน้อย
จากเรื่องเล่าเทพีแห่งดวงจันทร์ของจีนมีนามว่า “ฉางเอ๋อ” ที่มาที่ไปของนางนั้นมีหลายเวอร์ชั่นด้วยกัน รายละเอียดแตกต่างกันไป ดั้งนั้นจะขอเล่าสักสามฉบับ เวอร์ชั่นแรกและสองจะมีจุดเริ่มเดียวกัน คือฉางเอ๋อแต่ก่อนเป็นคนธรรมดา มีสามีชื่อ “โฮ่วอี้” เป็นยอดนักธนูที่เคยปราบอสูรร้ายมาแล้วมากมาย พวกเขาก็อยู่กินกันเป็นปกติ แต่วันหนึ่งเกิดเหตุอาเพศ จู่ๆ ท้องฟ้าที่เคยมีดวงอาทิตย์ดวงเดียว ก็กลับมีขึ้นมาพร้อมกันสิบดวง
พระอาทิตย์ 10 ดวงแผดเผาโลกอยากหนัก แม่น้ำลำธารแห้งขอด ต้นไม้แห้งเหี่ยว มนุษย์ล้มตาย โฮ่วอี้เลยขึ้นไปบนเขา พยายามเจรจากับพระอาทิตย์ทั้งสิบ แต่ไม่สามารถทำได้ เลยจำต้องยิงให้เหลือดวงเดียว จากนั้นโฮ่วอี้ได้ของตอบแทนวีรกรรมมาเป็นยาอายุวัฒนะ อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นอมตะ ก็ต้องไปอยู่อีกภพหนึ่ง โฮ่วอี้กับฉางเอ๋อไม่อยากจากกัน จึงเก็บยานั้นไว้
ฉ๋างอ่อ
ตำนานหนึ่งกล่าวว่า ศิษย์คนหนึ่งของโฮ่วอี้ต้องการยาอายุวัฒนะมาเป็นของตัวเอง อาศัยช่วงโฮ่วอี้ไม่อยู่ พยายามขโมยมันมา ฉางเอ๋อเลยชิงกินมันเข้าไป เพื่อไม่ให้ยาตกในมือคนชั่ว พอฉางเอ๋อเป็นอมตะ ก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า กลายเป็นเทพีแห่งดวงจันทร์ไป อีกตำนานเล่าว่าฉางเอ๋อกับโฮ่วอี้เป็นชาวสวรรค์อยู่ก่อน แต่ถูกส่งลงมายังโลกมนุษย์เพื่อแก้ไขอาเพศดวงอาทิตย์ 10 ดวง โฮ่วอี้พยายามเจรจากับดวงอาทิตย์อีก เมื่อไม่ได้ผลเลยยิงร่วงไปเหลือดวงเดียว แต่ดวงอาทิตย์เหล่านั้นเป็นบุตรของ “ตี้จุน” ราชาสวรรค์ ตี้จุนโกรธมาก เลยสาปให้ทั้งคู่อยู่บนโลกไปตลอด
เจ้า “กระต่ายบนดวงจันทร์” ที่ว่านี่ก็มีที่มาหลากหลายพอๆ กันกับตำนานฉางเอ๋อ หลายอันเป็นกระต่ายอย่างเดียว ฉางเอ๋อไม่เกี่ยวก็มี ซึ่งจะหยิบยกมาบางส่วนดังต่อไปนี้
ดวงจันทร์
เรื่องราวที่แก่ที่สุดของกระต่ายบนดวงจันทร์ มีมาตั้งแต่สมัยชาดก ถูกเล่าไว้ใน “สสปัณฑิตชาดก” ว่าด้วยเรื่องของผู้สละชีวิตตนเป็นทาน มีเรื่องว่า กาลครั้งหนึ่ง ชายคนหนึ่งหลงป่าแล้วสลบไป ไม่นานมีกระต่าย, หมี, จิ้งจอก มาพบเข้า
พวกมันทั้งสามตัดสินใจช่วยชายคนนี้ หมีจึงไปหาปลา และจิ้งจอกไปหาองุ่น แต่กระต่ายไปหาอาหารมาให้ไม่ได้ เลยสละตัวเองช่วยชายคนดังกล่าวโดยการโดดเข้ากองไฟเป็นกระต่ายย่างไปเพื่อให้มนุษย์ชายคนนั้นได้กิน พระอินทร์ที่เห็นเหตุการณ์เกิดประทับใจ จึงวาดรูปกระต่ายไว้บนดวงจันทร์ให้คนได้รำลึกถึงความดีของกระต่ายตัวนั้นที่เสียสละตัวเองเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น
ชาดกเรื่องนี้อีกเวอร์ชั่นหนึ่งกล่าวไว้คล้ายๆ กันว่า กาลครั้งหนึ่งมีกระต่าย, ลิง, จิ้งจอก, นาก เป็นเพื่อนกัน และรักษาศีลเหมือนกัน เมื่อถึงวันอุโบสถหรือวันพระขึ้น 15 ค่ำ สัตว์ทั้ง 4 ก็ตั้งใจจะทำบุญโดยการให้ทานคนยาก สัตว์แต่ละตัวออกหาอาหาร ยกเว้นกระต่าย ที่ตั้งใจสละชีวิตตนเป็นทาน
ส่วนเรื่องเล่าแบบญี่ปุ่นที่หลายคนอาจเคยได้ยิน จะคล้ายกับชาดกเรื่องแรก แต่เปลี่ยนตัวละครจากหมีเป็นลิง และชายคนที่เข้ามายังป่า คือชายชราที่อยู่บนดวงจันทร์แปลงตัวมาทดสอบความเมตตา ส่วนอย่างอื่นเหมือนกันหมด แต่กระต่ายยังไม่ทันจะได้โดดเข้ากองไฟ ชายจากดวงจันทร์ก็รีบห้าม แล้วชวนกระต่ายไปอยู่ด้วยกัน ซึ่งกระต่ายไปดวงจันทร์แล้วก็ไปช่วยชายชราทำอาหาร ดังนั้นตามความเชื่อของญี่ปุ่น จึงมีกระต่ายตำโมจิอยู่บนดวงจันทร์นั่นเอง
ผ่านมาจนถึงยุควิทยาศาสตร์เรื่องราวของฉางเอ๋อก็ยังถูกกล่าวถึง โดยชาวจีนได้ตั้งชื่อยานในโครงการสำรวจดวงจันทร์ว่า “ฉางเอ๋อ” คล้ายคลึงกับที่นาซาตั้งชื่อโครงการสู่ดวงจันทร์ครั้งใหม่ว่า “อาร์เตมิส” เทพีแห่งดวงจันทร์ตามปกรณัมกรีก ทั้งหมดล้วนแสดงถึงความยิ่งใหญ่และความเหนือกาลเวลาของตำนานเหล่านี้ ที่ต่อไปผ่านไปกี่พันปี ก็ยังถูกเล่าใหม่ และนำมาใช้ในบริบทอื่นได้เสมอ นี่คือเรื่องราวที่เป็นตำนานที่เรามักะเห็นคนใกล้ตัวพูกถึงกระต่ายบนดวงจันทร์ จากนี้ไปเมื่อเรามองขึ้นไปบนฟ้ากับเพื่อเพื่อนๆ ก็มรตำนานอีกเรื่องนึงที่ไปเล่าให้ฟังกันอย่างสนุกสนานได้