สุนัขจรจัดที่เรามีความรู้สึกว่าน่ารัก เราเมตตาเห็นอกเห็นใจ เอาขนมไปให้ เมื่อหายไปเราก็ห่วงใย แต่ว่าให้ขนมและก็จบกันไป กลายเป็นคำถามว่า พวกมันควรมีชีวิตอยู่ยังไง พวกมันอ้วนเกินไปรึเปล่า สุขภาพโอเคจริงหรือ มันควรจะมาต้องมาจองที่หน้าเซเว่นแบบนั้นหรือไม่ เมืองที่พวกมันอยู่ร่วมกับพวกเรานี้ เป็นที่ที่เหมาะสม หรือถูกวางแบบให้พวกมันใช้ชีวิตอยู่ด้วยได้ไหม
จริงอยู่ว่าปัญหาสุนัขจรจัดเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสำคัญ รวมทั้งแน่นอนว่าเป็นเรื่องอ่อนไหวสำหรับการจัดการ ในหลายประเทศ รัฐรับหน้าที่และก็รับประเด็นเรื่องสุนัขจรจัดเข้ามาเป็นวาระ และก็ทำการควบคุมดูแล เนเธอแลนด์เป็นประเทศแรกที่ออกมาประกาศว่าตัวเองเป็นประเทศที่ปลอดหมาจร ชาวดัชช์มีระบบการจัดการดูแลจนการทิ้งและเกิดขึ้นของสุนัขจรจัดใหม่เป็น 0 แต่ว่าบางประเทศก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์มาเรื่อยๆว่าทางการได้มีการ ‘ทำให้หลับ’ กับสุนัขและก็แมวจรจัดไม่น้อยเลยทีเดียวต่อวัน
สุนัขเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทแรกที่มนุษย์จับมาเลี้ยงเป็นสัตว์บ้าน มีการฝึกให้เชื่อง (domesticate) เป็นหมาบ้าน แล้วก็การเลี้ยงหมานับว่าเป็นกิจกรรมที่น่าทึ่งของมนุษย์ หมาบ้านแล้วก็หมาป่าล้วนมีบรรพบุรุษมาจากหมาป่าสีเทา (gray wolf) การเลี้ยงและฝึกหัดสุนัขนี้สืบย้อนกลับไปได้อย่างน้อย 15,000-20,000 ปี หรือข้อเสนอแนะในยุคหลังเสนอว่าบางทีอาจเก่าก่อนถึงขนาด 40,000 ปีกลายหน้านี้ ตรงนี้ยังคงเป็นที่โต้แย้งของนักมานุษยวิทยาและก็นักโบราณคดีกันอยู่ แต่ว่าหลักฐานพันธุกรรมของกิจกรรมการเลี้ยงสุนัข เจ้าสุนัขบ้านนี้ปรากฏอยู่ทั่วทุกอารยธรรมโบราณหรือกลุ่มมนุษย์โบราณทั่วโลก ตั้งแต่จีน ยุโรป มองโกลเลีย
จากการนำหมาป่ามาเลี้ยงรวมทั้งฝึกให้เชื่อง เพื่อให้มนุษย์โบราณมีคู่หูเพื่อดำรงชีพอยู่ในสภาพแวดล้อมอันโหดร้าย จนถึงสมัยข้างหลังที่หมาถือเป็นตัวแทนของความมีอารยธรรม ราชวงศ์หรือผู้มีอันจะกินไม่ว่าจะยุโรปหรือทวีปเอเชียล้วนเลี้ยงสุนัขเอาไว้ภายในครอบครัว พวกเรามองเห็นสุนัขปั๊กหรือเมืองปักกิ่งที่เป็นเพื่อนของสนมนางในในวังต้องห้าม เห็นพุดเดิลในฝ่ายในของยุโรป หรือสุนัขต้อนแกะและก็สุนัขล่าเนื้อที่ถูกใช้ในกีฬาและก็การจับสัตว์ ไปจนกระทั่งสุนัขบ้านของชาวบ้านทำหน้าที่เฝ้าปศุสัตว์รวมทั้งเฝ้าฟาร์ม
แต่ว่าถึงจุดหนึ่ง สุนัขบ้านก็มีชะตาเปลี่ยน ส่วนหนึ่งคือเมื่อเมืองหนาแน่นขึ้น หลายเมืองใหญ่ก็มีกิจกรรมเลี้ยงหมากันได้มากขึ้น ในประเทศยกตัวอย่างเช่นที่เนเธอแลนด์ ดินแดนแสนสุขในตอนนี้ ตอนราวปลายปี ค.ศ.1800-1900 ชาวเมืองดัชช์ก็มีการเลี้ยงหมากันอย่างแพร่หลาย แต่พอถึงราวต้นทศวรรษ 1900 เนื่องจากว่าเมืองแออัดคับแคบ รวมทั้งการจัดการสาธารณะสุขยังไม่ดีและไม่มีความรู้และมีความเข้าใจเพียงพอ เมืองใหญ่ก็เลยเกิดโรคพิษสุนัขบ้าระบาด ทำให้สุนัขบ้านอันเป็นสัญลักษณ์ของความรวยและก็ความอบอุ่นถูกทิ้งจำนวนมาก ในหลายประเทศยกตัวอย่างเช่นประเทศไทยบ้านเราก็มีพิษสุนัขบ้าระบาดจนเกิดหน้าประวัติศาสตร์แล้วก็เกิดสถานเสาวภาขึ้น
ช่วงหลังวิกฤติโรคระบาด ปัญหาสุนัขจรจัดก็ยิ่งเรื้อรังและก็เพิ่มมากเพิ่มขึ้นจากความนิยมการเลี้ยงหมา ที่ตอนนี้ราคาเริ่มถูกลง มีการผสมข้ามสายพันธุ์มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็แน่นอนว่าหมาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขยายพันธุ์ได้เร็วพอสมควร โดยหลายประเทศโดยยิ่งไปกว่านั้นบ้านเราก็ยังไม่ค่อยมีมาตรการการควบคุมทั้งยังการครอบครองสัตว์เลี้ยง ไปจนกระทั่งการควบคุมดูแลสุนัขจรด้วย
นับว่าเป็นเรื่องดีที่เมืองหรือประเทศหนึ่งๆต้องการจะมีเมืองที่ดี ที่คิดไปถึงทุกทุกๆชีวิตอันเป็นกระแสที่หลายประเทศกำลังทำ เนเธอแลนด์เองเป็นหนึ่งในเมืองที่พวกเรามักชูเป็นตัวอย่างตั้งแต่การบริหารน้ำ การออกแบบเมือง เรื่องรถจักรยาน สุขภาพ พลังงานทดแทนและก็อีกมากมาย โดยเรื่องสุนัขจรจัดเองก็เป็นเรื่องที่เนเธอแลนด์นับว่าเป็นวาระสำคัญ มีการเรียนผลักดันทั้งยังในด้านวิชาความรู้รวมทั้งแนวนโยบาย จนกระทั่งเมื่อปลายปีที่ผ่านมาถึงขนาดออกมาประกาศว่าที่โน่นเป็นประเทศปลอดสุนัขจรจัด รวมทั้งที่สำคัญเป็นไม่ได้ใช้แนวทางกำจัด หรือรมยาอันเป็นแนวทางที่หลายประเทศใช้เพื่อควบคุมประชากร
ความน่ายินดีอย่างหนึ่งนอกจากการรับไว้เป็นวาระสำคัญแล้ว คือการลงมือและก็รายงาน จนตราบเท่ากำเนิดเป็นแถวทางรวมทั้งภาคปฏิบัติที่เป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรม ซึ่งจริงๆการควบคุมประชากรหมาก็ใช้แนวทางที่มิได้เหนือความมุ่งมาดมากแค่ไหน เป็นสอดคล้องกับสิ่งที่หน่วยงานอนามัยโลกรายงานไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 ที่ใช้ 3 แนวทางให้ทำงานร่วมกัน คือการทำหมัน (sterilisation) ให้ความรู้ความเข้าใจ (education) เป็นให้พลเมืองเข้าใจตั้งแต่เรื่องจุดสำคัญแล้วก็หน้าที่สำหรับในการเป็นเจ้าของหมา ความรู้เรื่องการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ ไปจนถึงการทอดทิ้ง รวมทั้งข้อท้ายที่สุดเป็นการระบุตัวตน (identification) ทั้งตัวหมาแล้วก็เจ้าของ
ทั้งปวงนั้น ทางการเนเธอแลนด์ใช้ทางควบคุมหมาแบบพื้นฐานเป็น CNVR Program อันมีขั้นตอน 5 ขั้นตอนเพื่อลดประชากรสุนัขจรจัดเป็น collect, neuter, vaccinate and return โดยหมายถึงการที่ภาครัฐจะจับตาเวลามีหมาจรถูกทิ้งหรือเร่ร่อนก็จะจับไปเลี้ยงดูปูเสื่อ ให้วัคซีน คุมกำเนิด แล้วก็ค่อยนำกลับสู่สังคมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
อีกแนวทางที่ถูกทำพร้อมๆกัน เป็นการควบคุมตั้งแต่การรับเลี้ยงหรือครอบครองหมา หลายเขตปกครองของเนเธอแลนด์มีการขึ้นภาษีแล้วก็ควบคุมการซื้อหมาใหม่จากฟาร์มด้วยภาษีที่สูงสิบลิ่ว ในทางตรงกันข้าม ภาครัฐเองก็ออกแผนการและก็ช่วยเหลือให้ชาวเนเธอแลนด์อุปการะหมาจรข้างถนนจากที่พักพิง นอกเหนือจากนี้ยังมีการก่อตั้งหน่วยงานและก็เจ้าหน้าที่เฉพาะเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบรวมทั้งยั้งการทารุณกรรมต่อสัตว์อย่างเคร่งครัดด้วย
ผลคือ มีรายงานว่า 1 ใน 5 ของประชาชนชาวเนเธอแลนด์ขึ้นบัญชีครอบครองหมาบ้าน โดยในบรรดานี้มีกว่าหนึ่งล้านตัวที่ได้รับการอุปการะจากสุนัขจรจัดที่เคยเร่ร่อนอยู่บนท้องถนน จนกระทั่งทางเนเธอแลนด์ประกาศตนอย่างภูมิใจว่าไร้ซึ่งสุนัขจรจัดอีกต่อไปแล้ว ซึ่งทางดัชช์เองก็เผยแพร่แนวทาง CNVR นี้ ว่าจะช่วยประเทศที่กำลังเจอปัญหาสุนัขจรจัดได้
แต่ว่าในที่สุดก็อยู่ที่ความตั้งใจ และก็ความจริงจัง หลายเรื่องเกิดเรื่องที่จำเป็นต้องจัดการอย่างมีระบบ อย่างเป็นจริงเป็นจัง และก็ดำเนินงานพร้อมในหลายแง่มุม อีกทั้งการจัดตั้งระบบ สาธารณูปโภค พร้อมๆกับการสร้างสำนึกรวมทั้งความรู้ความเข้าใจ
อ่านบทความอื่นที่ บาคาร่าออนไลน์