ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าผู้คนจะใช้บริการและพึ่งพาเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันกันอยู่ไม่น้อย ซึ่งทางบริษัทก็จำเป็นที่จะต้อง พัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ออกมาให้ตอบโจทย์และตรงตามความต้องการของผู้บริโภค ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น และ สิ่งที่แทบจะขาดไม่ได้ เลยสำหรับในยุคนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ที่จะมาช่วยยกระดับความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันของเราเพิ่มมากขึ้น และแน่นอนว่าฟังก์ชันที่ AI จำเป็นจะต้องมีคือ “การพูดคุยโต้ตอบ” กับผู้ใช้ หรือระบบ Voice Assistant นั่นเอง
ชุดข้อมูลและโมเดลแรก ของ Google Assistant นั้นได้เลือกและทำการ พัฒนาด้วยเสียงของผู้หญิง ก่อน เพราะ Ward เชื่อว่าน้ำเสียงที่มีการขึ้นลงของเสียงสูง-ต่ำนั้นจะช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายกว่า แต่ก็ไม่มีหลักฐานมาสนับสนุนความคิดนี้ของ Ward แต่อย่างใด เพราะมนุษย์จะสูญเสียการรับรู้เสียงที่มีลักษณะแหลมสูงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น (อาการหูตึงในคนชรา) และจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Indiana ก็พบว่าเสียงของผู้หญิงนั้นช่วยเพิ่มการรับรู้และเข้าใจได้มากกว่าเสียงของผู้ชายจริง แต่เป็นเพราะผู้หญิงมีการออกเสียงคำและสระต่างๆ ที่ชัดเจนกว่า ไม่ใช่เพราะลักษณะโทนเสียงอย่างที่ Ward เชื่อ แต่อย่างไรก็ตาม, สุดท้ายแล้วทางบริษัทก็ได้ ปล่อยเสียง Google Assistant ที่เป็นเพศหญิงออกมาก่อนเนื่องด้วยข้อจำกัดต่างๆ ทั้งในเรื่องของเวลาและความพร้อมของข้อมูล
ในอดีตรวมถึงในปัจจุบัน) เรามักจะได้ยินเสียง โอเปอเรเตอร์โทรศัพท์เป็นเสียงของผู้หญิง ซึ่งในช่วงแรกองค์การโทรศัพท์ก็เคยจ้างผู้ชายมาก่อนแต่สุดท้ายก็ลงความเห็นว่าการใช้เสียงของผู้ชายนั้นทำให้ผู้รับฟังรู้สึกต่อต้านและไม่อยากฟังมากกว่า เนื่องจากลักษณะนิสัยและการพูดที่โผงผาง และบางครั้งก็มีการหลุดคำหยาบหรือติดเล่นมากจนเกินไป นอกจากนี้แล้วช่วงก่อนศตวรรษที่ 19 ผู้หญิงนับได้ว่าเป็นแรงงานที่อัตราค่าจ้างต่ำกว่าเพศชาย ทำให้บริษัทโทรศัพท์ส่วนมากเลือกจ้างผู้หญิงมากกว่า เพราะนอกจากผู้ใช้บริการจะเกิดความพึงพอใจมากกว่าแล้วช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกต่างหาก และช่วง สงครามโลกเองก็มักใช้เสียงผู้หญิงเป็นเนวิเกเตอร์บอกทาง เพราะนอกจากผู้ชายส่วนมากจะอยู่ในสนามรบจนทำให้แรงงานชายขาดแคลนแล้ว เสียงของผู้หญิงยังช่วยให้นักบินและคนขับรถมุ่งความสนใจให้กับเสียงบอกทางและแยกเสียงออกจากเสียงของเพื่อนทหารโดยรอบได้อีกด้วย ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าเราค่อนข้างที่จะ เคยชินกับการได้ยินเสียงของผู้หญิงผ่านอุปกรณ์ต่างๆ มากกว่าเสียงผู้ชาย มากเลยทีเดียว
จากผลการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัย Stanford พบว่ากลุ่มตัวอย่างทั้งเพศหญิงและชายชื่นชอบในการฟังเสียงของเพศหญิงมากกว่า เพราะ เสียงของผู้หญิงนั้นก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นมิตร อบอุ่น และปลอดภัย มากกว่าเสียงของผู้ชาย ซึ่งสำหรับเพศหญิงเป็นความสบายใจที่จะพูดคุยกับเพศเดียวกัน และสำหรับเพศชายนั้นรู้สึกว่าเสียงของเพศหญิงสามารถ “ดึงดูด” ความสนใจได้มากกว่า
ในขณะที่ เสียงของผู้ชายถูกใช้ในวงการโฆษณาและการตลาด ไม่ว่าจะเป็นตัวอย่างภาพยนตร์ หรือการโฆษณาผลิตภัณฑ์มักจะใช้เสียงของผู้ชายในการพากย์ เพราะเสียงของผู้ชายนั้นดูมีความน่าเชื่อถือที่จะนำเสนอข้อมูล, ข้อเท็จจริง หรือการให้คำแนะนำในเรื่องต่างๆ ได้มากกว่าเพศหญิง แต่เมื่อเป็นเรื่องของ การบริการหรือการขอความช่วยเหลือ เล็กๆ น้อยๆ แล้วนั้น คนส่วนมากลงความเห็นว่าตนรู้สึก สบายใจที่จะขอความช่วยเหลือกับบุคคลหรือเสียงเพศหญิง มากกว่าเพศชาย
เนื่องจากในภาพยนตร์ไซไฟเรื่อง 2001: A Space Odyssey มี AI ที่มีเสียงพากย์เป็นเพศชายชื่อว่า “HAL 9000” เป็นผู้ช่วยภายในยานอวกาศ โดย HAL นี้นับได้ว่าเป็น AI ที่คล้ายจะมีอารมณ์และความคิดเป็นของตนเอง (เพราะเขาสามารถพูดคุยและแสดงความคิดเห็นในเรื่องทั่วไปกับลูกเรือได้อย่างลื่นไหล) ซึ่งในระหว่างทาง HAL เกิดข้อผิดพลาดในการคำนวณ การทำงานของกล่อง AE-35 Unit (เครื่องส่งสัญญาณการติดต่อจากยานอวกาศลงไปยังโลกมนุษย์) แต่เมื่อกัปตันและลูกเรือที่เป็นมนุษย์ได้ทำการทดสอบซ้ำอีกครั้งก็พบว่า AE-35 Unit ทำงานเป็นปกติ ทำให้มนุษย์วางแผนว่าจะปิดการทำงานของ HAL ลงเพราะกลัวว่าหากทำงานผิดพลาดอีกจะทำให้พวกเขาไปไม่ถึงจุดหมาย ซึ่ง HAL เองก็ได้แสดงอาการ “กลัวตาย” ออกมาด้วยการ ฆ่าลูกเรือ ทิ้ง โดยการส่งสัญญาณให้ลูกเรือออกไปซ่อมเครื่องภายนอกยานและได้ส่งยานเล็กออกมาชนสายออกซิเจนที่ติดกับชุดอวกาศของลูกเรือจนหลุด จากนั้นก็ได้ปิดการทำงานของเครื่องจำศีลของลูกเรือคนอื่นๆ ในขณะที่กัปตันเรือออกไปช่วยเหลือลูกเรือภายนอกยาน เมื่อกัปตันกลับมาก็พบว่าลูกเรือทั้งหมดของเขาเสียชีวิตจึงได้พยายามหาทางปิดการทำงานของ HAL ลงในที่สุด นับได้ว่า การเปิดตัวของ AI เพศชายนั้นดูไม่น่าเชื่อถือ สักเท่าไรนัก (ถึงจะเป็นแค่ในรูปแบบของภาพยนตร์ก็ตาม)
ดังนั้น การที่ Voice Assistant เป็นเสียงผู้หญิงนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือเป็นการ “ลอกการบ้าน” ของบริษัทอื่นๆ ก่อนหน้าแต่อย่างใด เพราะกว่าที่แต่ละบริษัทจะตัดสินใจปล่อย Voice Assistant ออกมาให้ได้ใช้งานกันนี้ก็ผ่านกระบวนการการคัดเลือกและทดสอบเสียงพากย์ของ Voice Assistant ต่างๆ มาเป็นเวลาหลายครั้งกว่าจะได้เสียงที่ดีที่สุด (สำหรับแต่ละบริษัท) ซึ่งผลการทดสอบและทดลองใช้ทั้งหมดก็แสดงให้เห็นว่า น้ำเสียงและลักษณะการใช้คำพูดของ Voice Assistant ที่ดูมีความ “เป็นผู้หญิง” นั้นสร้างความ พึงพอใจ ให้กับกลุ่มผู้ใช้ได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด