โอไมครอน
ตอนนี้เราคงจะได้ข่าวการเกิดโควิดสายพันธุ์ใหม่อย่าง “ โอไมครอน ” ในแอฟริกาใต้นั้น ซึ่งตอนนี้โควิคสายพันธุ์ใหม่ตัวนี้ทำให้หลายท่านรู้สึกตกใจและหวาดกลัว เพราะพันธุ์นี้มีคุณสมบัติ คือ แพร่ได้ง่าย วัคซีนที่มีป้องกันได้น้อย มีความรุนแรงเพราะฉนั้นแปลว่า โอไมครอน คือภัยอันตรายอันใหม่ที่อาจทำให้โลกกลับไปล็อคดาวน์อีกครั้ง อย่างไรก็ตามข้อมูลเท่าที่ออกมาหรือเรารู้กันตอนนี้บอกว่า แม้โอไมคอนแพร่เชื้อง่ายขึ้น และวัคซีนที่เรามีใรตอนนี้ก็สามารถยับยั้งได้น้อยก็จริง แต่ในเรื่องความรุนแรงของโควิคสายพันธุ์นี้นั้น ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านยังบ่งชี้ว่าไม่มากเท่าสายพันธุ์ก่อนหน้านี้ จนกระทั่งมีการระบุว่าโอไมครอนอาจเป็น “สายพันธุ์ที่เราต้องการ” ก็ได้ แต่ทำไมมันจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรล่ะ ต้องมาตามอ่านกันในบทความนี้ จะพาทุกท่านไปดูว่าทำไมโอไมครอนจึงอาจจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่สามารถเป็นได้ทั้ง “มหันตภัยใหม่” หรือ “ความหวัง” ของเรา หรือไม่
โอไมครอนเป็นโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่พบครั้งแรกในประเทศแอฟริกาใต้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ตั้งชื่อโควิคสายพัทธ์นี้ว่าโอไมครอนตามอักษรกรีกตัวที่ 15 เมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา และตอนนี้เรามีโควิด 13 สายพันธุ์ด้วยกันแล้ว ในจำนวนนี้ มีสายพันธุ์น่ากังวลอยู่ด้วยกัน 5 สายพันธุ์ ได้แก่ แอลฟา, เบตา, แกมมา, เดลตา และโอไมครอน
แนวโน้มที่จะได้พบคือ เมื่อเกิดโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่ปรับตัวได้ดีกว่าขึ้น ยอดผู้ป่วยของสายพันธุ์ใหม่จะค่อยๆ สูงขึ้นจนเข้าแทนที่สายพันธุ์เดิม และสุดท้ายจะแทบไม่มียอดผู้ป่วยสายพันธุ์เดิมเหลืออยู่อีกต่อไป สายพันธุ์โอไมครอนอาจเป็นสายพันธุ์ที่พบบ่อยที่สุด และแซงหน้าเดลตาก็เป็นไปด้ เมื่อดูข้อมูลจากแอฟริกาใต้พบว่า อัตราผู้ป่วยรายวันจาก 300 คนเมื่อต้นเดือน พ.ย. เพิ่มขึ้นเป็น 2,000 คนเมื่อปลายเดือน พ.ย นั้นเอง
ในปัจจุบัน WHO ยังระบุว่าไม่มีข้อมูลว่าสายพันธุ์โอไมครอนนี้มีอัตราแพร่เชื้อและความรุนแรงสูงกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ ก่อนหน้านี้หรือไม่ จากการศึกษาข้อมูลทางพันธุกรรมเท่าที่ออกมา พบว่าไวรัสโควิดโอไมครอนมีการกลายพันธุ์ในส่วนโปรตีนหนาม (spike protein) ที่ไวรัสใช้ในการเข้าสู่เซลล์ ทำให้เชื่อว่าจะทำให้เชื้อสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ดีขึ้น แพร่เชื้อต่อไปยังผู้อื่นง่ายขึ้น และสามารถลดประสิทธิภาพของวัคซีนด้วย
เมื่อข้อมูลที่เราได้จากโควิคสายพันธุ์ใหม่มาแบบนี้ ทำให้หลายฝ่ายรู้สึกกังวลว่ามันอาจกลายเป็นการระบาดระลอกใหม่ที่อาจต้องใช้มาตรการล็อคดาวน์เข้มงวดอีกครั้งหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลให้วิถีชีวิตและเศรษฐกิจกลับไปหยุดชะงักอีก แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีผู้เชี่ยวชาญหลายท่านที่ออกมาชี้แจ้งว่า สายพันธุ์โอไมครอนนี้จะมีความรุนแรงมากนัก แต่คงจะติดกันง่ายขึ้น ระบุว่า ไวรัสโอไมครอนใหม่นี้ดูเหมือนจะรับเอาสารพันธุกรรมส่วนหนึ่งมาจากไวรัสก่อโรคหวัดธรรมดาที่ติดกันง่ายนั้นเอง กล่าวคือไวรัสอาจกลายพันธุ์เอง หรือรวมกับไวรัสอื่นๆ เกิดเป็นพันธุ์ใหม่ก็ได้
โควิค โอไมครอน
ข้อมูลเท่าที่มีจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคยุโรปได้ระบุไว้ว่า ผู้ป่วยจากโอไมครอนร้อยละ 50 ไม่มีอาการ และอีกร้อยละ 50 มีอาการไม่รุนแรง เช่นจะมีอาการ ปวดศีรษะ ปวดตามเนื้อตัว และอ่อนเพลีย ซึ่งอาการนี้เป็นอาการคล้ายแบบไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล และข้อมูลจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในแอฟริกาใต้ระบุว่า ในจำนวนผู้ป่วยโอไมครอน 42 คน มีผู้ป่วยต้องให้อ็อกซิเจนเพียง 13 คน
ในลักษณะนี้จึงมีความเป็นไปได้ที่โอไมครอนอาจเป็นโควิดที่กลายพันธุ์ให้ตัวเองสามารถแพร่ได้ง่าย แต่มีความรุนแรงน้อยลงเพื่อที่จะสามารถ “อยู่ร่วมกัน” กับมนุษย์ เพราะประโยชน์สูงสุดของไวรัสคือการอยู่รอด และแพร่พันธุ์ไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ทำให้เกิดอัตรายถึงแก่ชีวิต ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จริง ๆ โอไมครอนก็อาจเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่เราต้องการ เพื่อทำให้มนุษย์นั้นสามารถให้ชีวิตอยู่ร่วมกับมันได้ แต่ถึงอย่างนั้น ยังต้องเตือนว่าอย่าเพิ่งประมาทและด่วนสรุปเกินไป เพราะข้อมู น่าจะต้องใช้เวลาศึกษารวบรวมอีกมาก การที่อาการป่วยไม่รุนแรงในระยะต้นนั้น ไม่ได้แปลว่าผู้ป่วยจะไม่ทรุดหนักในอนาคต
ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวว่า อนาคตโควิดน่าจะไม่หายไปไหน แต่จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นไป เช่นเดียวกับไวรัสโคโรนาอีก 4 ชนิดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นโรคที่อยู่คู่กับมนุษย์มาหลายปีแล้ว การเปลี่ยนแปลงในช่วงท้ายๆ ของการระบาดใหญ่ของโควิดจะเป็นตัวตัดสินรูปแบบการระบาดในอนาคต และสามารถเกิดความเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม บทความนี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อให้ทุกคนปนะมาณและวางใจโรคโควิดสายพันธุ์ใหม่นี้ เพียงแต่ต้องการชี้ให้เห็นถึงข้อมูลต่างๆที่ผู้เชียลชาญที่ได้ศึกษาและพยายามที่จะศึกษาเกี่ยวกับไวรัลนี้ เพียงแต่ยังไม่แน่ใจว่าโอไมครอนคือจุดเปลี่ยนนั้นหรือเปล่า
การคิดว่าในอนาคตโลกเราจะไม่ต้องอยู่กับไวรัสเหล่านี้เป็นเรื่องที่อาจจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะพวกมันแพร่ขยายได้เร็วมาก ปรับตัวได้ดีมาก สงครามระหว่างสิ่งมีชีวิตกับไวรัสเป็นสงครามที่ไม่มีวันจบ แต่เป้าหมายสูงสุดของมวลมนุษย์และไวรัสเหล้านี้ยังคงต้อง “อยู่ร่วมกัน” ไปอีกนานหรือตลอดชีวิตของเราเลย